ประวัติของกระเป๋าแต่ละแบรนด์

เพื่อให้ความรู้กับผู้ที่ต้องการอยากรู้ความเป็นมาและประวัติของกระเป๋าแต่ละยี่ห้อ ก่อนที่จะมาเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันทั่วโลก

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

ประวัติกระเป๋า LOUIS

กระเป๋า LOUIS

ตำนานแห่งการเดินทาง ของ LOUIS VUITTON

ปีค.ศ.1837เป็นปีที่ หลุยส์ วิคตอง เป็นชื่อของกระเป๋าบรรจุสัมภาระเริ่มต้นออกวางขายในมหานครปารีส และสิบห้าปีต่อมาสินค้าชื่อนี้เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในกลุ่มนักเดินทางที่ต้องมีกระเป๋าชื่อนี้ไว้ในครอบครอง จึงจะเป็นที่ยอมรับว่าเป็นนักเดินทางตัวจริง
          มีเรื่องเล่ากันว่าสินค้าชื่อนี้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ ในยุคต้นศตวรรษที่19เมื่อการรถไฟของฝรั่งเศสจะทำการเปลี่ยนหนังหุ้มเบาะในตู้นอนของรถไฟชั้นหนึ่ง จากหนังวัวที่เริ่มจะเปื่อยยุ่ยและชำรุด มาเป็นแผ่นผ้าอาบใยสังเคราะห์ซึ่งถือว่าเป็นวัสดุทันสมัยในยุคนั้น มีความอ่อนนุ่มและทนทานกว่า และยังรักษาความสะอาดได้ง่ายกว่า
       แผ่นผ้านี้ผู้ผลิตได้ออกแบบลวดลายเป็นลายดอกไม้สี่กลีบในวงกลมสีเหลืองโอ้คบนผืนผ้าสีน้ำตาลเข้มและใช้ตัวอักษรV Lไขว้กันอันเป็นชื่อย่อของเขา แทนที่จะเป็นW Lอันเป็นตัวย่อของคำว่า Wagon Lit ซึ่งหมายถึง ตู้นอน และผ้าที่ว่านี้ได้ผลิตเสร็จเรียบร้อยพร้อมที่จะทำการบุที่นั่งทั้งหมดได้ในทันที
          หากแต่ว่าข้อผิดพลาดของ Vและ W เป็นอุปสรรคที่ไม่อาจนำผ้าทั้งหมดไปใช้งานได้ แก้ไขก็ไม่ได้นอกจากต้องสั่งผลิตใหม่ทั้งหมด ผ้าจำนวนนั้นจึงถูกระงับโดยมิอาจนำมาใช้ในงานนี้ได้ จำนวนผ้าลวดลายดังกล่าวทั้งหมดที่ถูกปฏิเสธจึงถูกนำไปแปรรูปใช้ในงานอื่นจากโรงงานผู้ผลิต

 

กระเป๋าหลุย

 

เพื่อมิให้เป็นการสูญเปล่า   โดยนำไปใช้หุ้มหีบใส่สัมภาระสำหรับการเดินทางซึ่งแต่เดิมเป็นการใช้หนังวัวหุ้มบนโครงหีบไม้  มีหมุดเหล็กตอกเป็นระยะเพื่อความทนทาน อันเป็นหีบที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในขณะนั้น  และใช้ชื่อสินค้าตามชื่อสกุลของผู้ผลิตเป็นเครื่องหมายการค้า และนั่นคือที่มาของชื่อ Louis Vuitton
         
       หีบของ หลุยส์ วิคตอง เริ่มเป็นที่รู้จักสำหรับนักเดินทางที่เริ่มเดินทางด้วยเรือเดินสมุทรในเวลาต่อมา   ด้วยคุณภาพที่ต่างจากหีบหนังแท้คือมีน้ำหนักเบากว่า สามารถใส่สัมภาระได้มากกว่ารวมทั้งสะดวกต่อการลำเลียง นอกจากนั้นยังไม่ซับน้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำฝนหรือน้ำทะเล และเมื่อวางกองรวมอยู่กับหีบเดินทางอื่นๆก็ดูโดดเด่นกว่าด้วยลวดลายที่พิเศษ ง่ายต่อการสังเกตุที่บรรดาลูกหาบและเจ้าของที่จะชี้ได้ในทันที

 

กระเป๋าก๊อป

ทำให้สินค้าของ หลุยส์ วิคตอง ซึ่งมีบูติคอยู่ที่ทั้งเมืองนีซ เมืองคานนส์ และโมนาโคเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่ดารานักแสดงและผู้มีฐานะที่ไปใช้เวลาพักผ่อนในช่วงฤดูร้อนที่นั่น หลายครั้งที่หีบและกระเป๋าเดินทางชื่อนี้ถูกนำมาเข้าฉากภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดฟอร์มใหญ่หลายเรื่องตั้งแต่เรื่องโรมัน ฮอลลิเดย์ ภาพยนตร์รักกระจุ๋มกระจิ๋มเมื่อหลายสิบปีก่อน จนถึงภาพยนตร์ย้อนยุคเช่นเรื่องไททานิค
        
 และล่าสุดคือเรื่อง ดิ อิทาเลียน จ๊อบ  ที่ใช้กระเป๋าโอเวอร์ไนท์ของ หลุยส์ วิคตอง ในการลำเลียงทองคำแท่งอันเป็นการยืนยันถึงความทนทาน ซึ่งเท่ากับเป็นการยืนยันให้เห็นถึงรสนิยมและอิทธิพลของสินค้าชื่อนี้ต่อทั้งผู้สร้างและแฟนภาพยนตร์  ด้วยเอกลักษณ์ที่สะดุดตากว่าสินค้าอื่นนั่นเอง และจากปีค.ศ.1896เป็นต้นมาหีบ หลุยส์ วิคตอง ในลวดลาย โมโนแกรม ก็สำแดงคุณภาพอันพิเศษให้เป็นที่ประจักษ์ยากจะหาใครเหมือน ก็คือความทนทานคุ้มราคานั่นเอง ด้วยหีบส่วนใหญ่ที่มีน้ำหนักมากมักชำรุดเสียระหว่างเดินทาง หากแต่หีบนามนี้กลับมีความทนทานมากกว่า โดยเฉพาะตามขอบมุมที่มักถูกกระทบกระแทกจนช้ำชอก ได้รับการป้องกันด้วยการหุ้มมุมด้วยโลหะและตอกหมุดเย็บตะเข็บเป็นอย่างดี โครงข้างในก็เบาและมั่นคงมีการใช้ซับในที่น่าดู ไม่เหม็นกลิ่นหนังที่อับชื้นและหากมีการชำรุดก็ส่งซ่อมได้โดยง่ายยิ่งทำให้สินค้าชื่อนี้เป็นที่นิยมเป็นทวีคูณ
           
 จากปากต่อปากคำต่อคำในที่สุด  หลุยส์ วิคตอง  ก็กลายเป็นสินค้าฝรั่งเศสที่ขายดีที่สุดในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นสินค้าที่แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เลยแต่ก็เป็นสินค้าที่มียอดขายมากที่สุด

จากร้านเล็กๆในมหานครปารีส  ปัจจุบัน  หลุยส์ วิคตอง มีบูติคที่เปิดจำหน่ายสินค้าของตนในทุกเมืองสำคัญของโลกกว่าร้อยแห่ง ยิ่งเปิดมากยอดจำหน่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และเมื่อไม่กี่ปีมานี้เองที่ หลุยส์ วิคตอง เริ่มเพิ่มแบบและเพิ่มสีสันให้ลูกค้าเลือกได้มากขึ้น  และมีการใช้กลยุทธ์ในการจำกัดจำนวนและถิ่นฐานของผู้ซื้อ กลับกลายเป็นการกระตุ้นยอดขาย ให้บรรดาผู้ที่นิยมในสินค้าชื่อนี้เดินทางไปตามเมืองต่างๆ  เพื่อซื้อหามาเป็นสมบัติของตนให้จงได้ อย่างไม่รู้สึกเสียดมเสียดายในเงินทองที่ต้องจ่ายออกไปแม้แต่
           
 ทั้งที่สินค้าของ  หลุยส์ วิคตอง  เป็นสินค้าราคาสูงหากแต่ด้วยคุณภาพที่ทนทานคุ้มราคา ทำให้สินค้านี้เป็นที่นิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว  และกลายเป็นสิ่งแสดงรสนิยมและฐานะ นอกเหนือไปจากการเป็นนักเดินทางผู้มากด้วยประสพการณ์เช่นเมื่อสองศตวรรษที่แล้ว

ป้ายกำกับ:

ประวัติกระเป๋า HERMES

Hermers

กระเป๋าแบรนด์ Hermers

กระเป๋าแฟชั่นกระเป๋า Hermersกระเป๋า Hermers

ประวัติ HERMES
เริ่มต้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1837 ด้วยการเป็นผู้ผลิตอานม้า เครื่องม้า เมื่อเทียรี่ แอร์เมส (Thierry Hermes) ชาวฝรั่งเศสก่อตั้งบริษัทผลิตอานม้าของเขาในปีค.ศ. 1837 ที่ rue Basse du Rempart ในปารีส เขาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการผลิตเครื่องใช้สำหรับการขี่ม้า และกระเป๋าใหญ่ที่ใช้ในเดินทางด้วยรถม้าที่มีพิถีพิถันตั้งแต่การเลือกหนังคุณภาพดีมาใช้ และการเย็บแบบ 2 เข็ม ฝีเย็บจึงแน่นและทนทานซึ่ง know-how เหล่านี้กลายเป็นทรัพย์สินที่ Hermes ใช้ต่อยอดผลิตเป็นสินค้าไลน์อื่น โดยนำเอาความรู้เรื่องหนังหลากหลายชนิดและเทคนิคการเย็บแบบ พิเศษนี้มาใช้สร้างมูลค่าด้วยคุณภาพและความีฝีมือ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี อานม้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆของเขาก็ได้รับกลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ราชวงศ์และชนชั้นสูงของฝรั่งเศส Hermes อ่านว่า แอร์แมส ยี่ห้อเครื่องหนังหรูที่กำลังเป้นที่คลั่งใคล้

อันที่จริง รูปแบบกระเป๋า Hermes ดูคลาสสิคดี และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เครื่องหนังหลากยี่ห้ออดที่จะเลียนแบบไม่ได้ จึงเห็นกระเป๋าละม้ายแบบ Kelly ตามห้างร้านต่างๆ ทว่าถึงอย่างไรก็ไม่โก้เท่า

กระเป๋าแฟชั่น


ความโดดเด่นของ Hermes ไม่ได้อยู่ที่เครื่องหนังหรือเสื้อสำเร็จรูปเท่านั้น สินค้าที่เชิดหน้าชูตาอีกอย่างหนึ่งก็คือผ้าพันคอไหมสี่เหลี่ยมจตุรัส หรือที่เรียก Le carre Hermes ซึ่งวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 1937 มีเพียงขนาดเดียว เป็นขนาดมาตรฐาน คือ 90x90 เซนติเมตร ใช้ไหมหนัก 65 กรัม ผลิตไปแล้วกว่า 2,000 ลายด้วยกัน แต่ละปีจะออกสองคอลเลคชั่นด้วยกัน แต่ละคอลเลคชั่นจะมี 12 ลาย และจะมีเพียง 6 ลายเท่านั้นที่จะนำมาผลิตใหม่ ด้วยการดัดแปลงเปลี่ยนสีให้เข้ากับฤดูกาล อีก 4-6 ลายไม่ผลิตใหม่อีก Le carre Hermes ถือเป็นส่วนประกอบแฟชั่นหรูที่ควรมีคู่กาย แบบที่สร้างชื่อให้มากที่สุด คือ Ex-libris ซึ่งผลิตในปี 1976 Brides de gala ปี 1957 Les Cles ปี 1965 Voitures a transformation ปี 1965 Eperon ปี 1975 และ Springs ปี 1974

ผ้าพันคอ Hermes มีขายตลอดปีๆละ 30-40 แบบด้วยกัน แต่ละแบบจะมีสีต่างกันถึง 8-10 สี อย่างไรก็ตาม สามารถสั่งทำผ้าพันคอแบบที่ผลิตจำนวนจำกัด หรือสั่งผลิตลายใหม่ได้

Fred Rawyler ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของนิตยสาร Monde d'Hermes ซึ่งออกปีละ ๒ ฉบับ และทำงานกับห้างนี้มานับ 20 ปี แล้ว เห็นลายผ้าพันคอซ้ำซากจำเจอยู่นั่นแล้ว วันหนึ่งเขาจึงเขียนลายเส้น ลงสี แล้วนำไปเสนอ Jean-Louis Dumas ประธานกลุ่ม Hermes ซึ่งยอมรับดีไซน์ของเขาอย่างไม่รั้งรอ จึงเป็นที่มาของแบบชื่อว่า Mediterranee ที่สร้างความฮือฮามากในปัจจุบัน จนเป็นข่าวในนิตยสารแฟชั่นทุกฉบับ แบบ editerranee นี้มีทั้งหมด 12 สีด้วยกัน เป็นคอลเลคชั่นฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อนปีนี้ สีใหม่ๆจะออกมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

ทุกวันนี้แบรนด์ Hermes ขึ้นชื่อมากในเรื่องของกระเป๋าใบหรูที่ราคาแสนแพง แต่กลับมียอดสั่งจองเยอะที่สุดและต้องรอคอยนานข้ามปี ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่จะมีปรากฏการณ์แบบนี้ ว่ากันว่า เป็นลูกค้าประจำ หรือ ต้องดูบุคลิกว่าเหมาะกับกระเป๋าหรือไม่

สินค้า กลยุทธ์ของ Hermes

ผ้าพันคอ Hermers


สินค้าที่มีชื่อเสียงที่สุดของแอร์เมส คือ ผ้าพันคอไหม ซึ่งผลิตครั้งแรกในปีค.ศ. 1928 โดยได้รับแรงบันดาลมาจากผ้าพันคอของทหารในกองทัพนโปเลียน ในการทำผ้าพันคอของแอร์เมสในปัจจุบัน เริ่มต้นจากคัดเลือกเส้นไหมที่มีคุณภาพ และเทคนิคการทอแบบ16 รังไหม ขณะที่ของคนอื่นใช้แค่ 8 รังไหม และผลิตจากโรงงานในฝรั่งเศสซึ่งเป็นสุดยอดแห่งแฟชั่น จึงไม่น่าแปลกใจที่ดีไซเนอร์หลายคนนิยมนำผ้าพันคอแอร์เมสไปตัดเสื้อผ้า

Print AD ผ้าพันคอไหม

ผ้าพันคอแฟชั่น

ผ้าพันคอสวย

ผ้าพันคอ Hermers

กระเป๋าของแอร์เมสที่ติดอันดับยอดนิยมตลอดกาลอย่าง Birkin และ Kelly นั้น

กระเป๋าสตางค์ Hermers

การผลิตโดยการตัดเย็บด้วยมือด้วยความปราณีตและละเอียดอ่อน โดยหนังที่ใช้ต้องเป็นเกรดเอเท่านั้น ซึ่งมีหนังหลายชนิด อาทิ หนังนกกระจอกเทศเลี้ยงจากฟาร์มอย่างดี หรือหนังจระเข้เกรดเอที่ถูกเลี้ยงแยกบนหินอ่อนป้องกันรอยขีดข่วนที่หนัง ผ่านการตัดเย็บด้วยช่างฝีมือดีที่ฝึกเย็บในโรงงานแอร์เมสที่ฝรั่งเศสมาถึง 3 ปี ก่อนจะได้รับอนุญาตให้ผลิตกระเป๋า ซึ่งแต่ละใบใช้เวลาผลิต 16-20 ชั่วโมง โดยช่างผู้ผลิตจะรับผิดชอบซ่อมแซมกระเป๋าตลอดอายุการใช้งาน และการจะได้มานั้นแต่ละ ใบต้องสั่งจองล่วงหน้าเป็นปีๆ กว่าจะได้มาครอบครองสมใจ

ป้ายกำกับ:

ประวัติกระเป๋า CHANEL

CHANEL



ห้องเสื้อชาเนล (Chanel) มีประวัติและชื่อเสียงที่ยาวนานในด้านการปฏิรูปความคิด แหกกฎ 

และดื้อรั้น (Revolutionist) แต่ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อการสรรค์สร้าง

ความเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง 

ห้องเสื้อชาเนลก่อตั้งโดย โกโก้ ชาเนล” (Coco Chanel) 

(ชื่อจริงของเธอคือ “Christine Gabriel Chanel" ) 

เธอเกิดในครอบครัวที่ยากจนซึ่งตั้งรกรากอยู่แถบชนบทของฝรั่งเศส 

หลังจากแม่ของเธอเสียชีวิตไม่นาน เธอต้องไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กและเติบโตที่นั่น 

ชีวิตในวัยเด็กจึงแร้นแค้นมาก และส่งผลให้เธอเกลียดและกลัวความแร้นแค้นที่สุด

เมื่อโตเป็นสาว ชาเนลต้องการมีธุรกิจสักอย่างเพื่อจะได้มิต้องตกเป็นทาสของความยากจนแร้นแค้นจึงตัดสินใจเปิดร้านออกแบบและผลิตหมวก เพราะในยุคสมัยนั้น ผู้หญิงนิยมใส่หมวกออกนอกบ้าน ดังนั้นผู้คนจึงต้องการสวมใส่หมวกที่มีรูปแบบสวยงาม



กระเป๋า CHANEL

โดยส่วนตัวแล้วชาเนลชอบสวมใส่เสื้อผ้าสบายๆ อย่างเชิ้ตผ้าฝ้ายตัวหลวมกับกางเกงขี่ม้า 

และรองเท้าบู้ตยาวหนังมัน เรียกได้ว่าชาเนลแต่งตัวมีสไตล์ของตัวเองมากๆ

และกล้าที่จะแหกกฎต่างๆ ออกมา เพราะผู้หญิงสมัยนั้นทุกคนต้องใส่คอร์เส็ต (Corset) 

ซึ่งทำมาจากโครงกระดูกปลาวาฬ ใช้สำหรับรัดทรวดทรงให้โค้งเว้า 

ถ้านึกไม่ออกก็หาดูตัวอย่างได้จากภาพยนตร์เรื่อง 

“Moulin Rouge” และ “Titanic”




เสื้อผ้าที่เธอออกแบบในช่วงแรกๆนั้น เป็นที่ประทับใจของผู้คนในแวดวงชั้นสูงอย่างมาก

ดังนั้นคนที่จะสามารถซื้อหาเสื้อผ้าของเธอได้นั้นต้องมาจากชั้นสูงเหมือนกัน 

แรงบันดาลใจที่เธอได้รับในการแต่งตัวนั้นส่วนใหญ่มาจากชายหนุ่มที่เธอคบหาด้วย

เช่นแฟนคนแรกของเธอทำให้เธอหลงใหลในเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขี่ม้า 

เมื่อพบรักใหม่กับทหารรัสเซียชั้นสูง เธอก็หลงใหลในเสื้อผ้าสไตล์รัสเซีย ชุดกระโปรงตัวหลวม 

มีสายคาดสะโพก สวมใส่สบาย ใส่พร้อมเสื้อโค้ตเฟอร์ตัวหลวม และที่ขาดไม่ได้

หากเป็นสไตล์ของชาเนลที่แท้จริง จะต้องสวมใส่เข็มกลัดดอกคาเมลเลีย (Camellia) 

ไข่มุกเส้นยาวหลายเส้น เข็มขัดโซ่สีทอง กระเป๋าหนังเย็บแบบตาราง ซึ่งจะมีตัว ซีไขว้ประดับอยู่

อันเป็นสัญลักษณ์ที่เลื่องลือมาจวบจนทุกวันนี้




 

เสื้อผ้าของเธอนั้นมีส่วนอย่างมากในการเพิ่มพลังของอิสตรี 

ผู้หญิงในแบบฉบับของชาเนลนั้นจะต้องเข้มแข็ง แต่ทว่าอ่อนหวานอยู่ภายใน 

(เหมือนกับชีวิตของเธอนั่นเอง)

หลังจากที่ห้องเสื้อของเธอประสบความสำเร็จอย่างสูง

ก็ต้องมีช่วงที่ประสบกับความซบเซาอันเนื่องมาจากสงคราม 

เธอต้องย้ายไปอยู่ที่หาดริเวียร่า ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส

Chanel
ก่อนจะเกิดสงครามนั้น ชาเนลคิดค้นน้ำหอมที่ผลิตจากกลิ่นสังเคราะห์เป็นครั้งแรกของโลก 

นั่นก็คือ ชาเนล นัมเบอร์ ไฟฟ์” (Chanel No. 5) หลังจากน้ำหอมกลิ่แรกที่เธอคิดค้นขึ้นออกสู่ตลาด

ชาเนลอยู่ได้สบายๆ โดยไม่ต้องออกแบบเสื้อผ้าใดๆ ด้วยส่วนแบ่งจากการผลิตน้ำหอมของเธอ 

ทหารทุกคนต้องการซื้อ ชาเนล นัมเบอร์ ไฟฟ์ กลับไปฝากภรรยาของตัวเอง 

น้ำหอมของเธอจึงขายดีมากจนแทบจะผลิตไม่ทัน 



Chanel


ทุกวันนี้ การออกแบบเสื้อผ้าสำหรับห้องเสื้อที่เก่าแก่นี้ 
ล้วนเป็นผลงานของ คาร์ล ลาเกอร์เฟล” (Karl Lagerfeld) อัจฉริยะบุคคลแห่งวงการแฟชั่น 
และคอลเล็กชั่นล่าสุดนี้ คาร์ล ดึงความเป็นผู้หญิงกลับมาอีกครั้ง 

แต่เพิ่มความเท่ห์ และความหรูหรา อีกทั้งเน้นการสวมใส่ได้จริงเข้าไปไว้ในหนาวนี้ด้วย 

เริ่มต้นจากโค้ตเฟอร์ทั้งสีดำ และน้ำตาล เสื้อคาร์ดิแกนผ้าทวีดทอลายด้วยดิ้นเงิน 

กุ๊นขอบด้วยไหม หรือว่าจะเป็นเสื้อสูทผ้าทวีดเข้ารูปตัวสั้น สวมทับเสื้อผ้าไหมบางเบา

มาพร้อมกับกระโปรงหนังทรงเอ ที่เท่ห์ที่สุดเห็นจะเป็นต่างหูระย้าเงินแวววาว

เข็มขัดหนังเย็บเป็นตารางใส่แบบเอวต่ำ และรองเท้าบู๊ตหนังมีปลอกขา 

ประดับประดาเพิ่มด้วยดอกคาเมลเลีย เข็มกลัดจิวเวลรี่ โซ่เงินและทองคล้องที่เอวต่ำ





ส่วนสีที่เลือกใช้จะมีตั้งแต่ ดำ น้ำตาล แดงเลือดนก ฟ้าบลูยีนส์ ไปจนถึงขาวบริสุทธิ์ 

อีกทั้งยังง่ายต่อการ Mix and Match อีกด้วยทั้งหมดนี้คือความอัจฉริยะที่ลงตัวของห้องเสื้อเก่าแก่ 

แต่เท่ห์โดยคาร์ล ลาเกอร์เฟล แด่ ชาเนล ผู้ล่วงลับ


ชีวิตหลากหลายด้านของ CHANEL



สดใส ไม่หยุดนิ่ง และหลากหลาย Gabrielle Chanel ใช้ชีวิตอยู่ในศตวรรษที่เต็มไปด้วยสีสันอันแสนวิเศษ ผู้ผลิตภาพยนตร์มักกล่าวว่า เรื่องจริงแปลกกว่าเรื่องที่แต่งขึ้นและเรื่องจริงของ Gabrielle Chanel ก็อยู่เหนือความคาดหมายของนักเขียนบทที่เปี่ยมด้วยจินตนาการชั้นเลิศอย่างแน่นอน



สำหรับ Gabrielle Chanel “ตำนานเป็นการยกย่องคนดังมีการเขียนประวัติของนักออกแบบแฟชั่นคนนี้ และเรื่องราวในชีวิตของเธอกว่า 40 ครั้ง ประสบการณ์ในศตวรรษที่ 20 ของ Chanel เต็มไปด้วยความกล้าได้กล้าเสีย ความรัก ความวุ่นวาย และความหลงใหล เรื่องราวของเธออ่านแล้วเหมือนกับบทเรียนสำหรับชีวิต นวนิยายที่เต็มไปด้วยการผจญภัย 



เกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1883 ในครอบครัวเล็กๆ ในต่างจังหวัด Gabrielle Chanel ต้องกำพร้าตั้งแต่ยังเด็กและเติบโตขึ้นในโรงเรียนแม่ชี ที่นี่เธอได้เรียนรู้พื้นฐานของการตัดเย็บเสื้อผ้า และเมื่ออายุสิบแปดปีก็ทำงานเป็นผู้ช่วยในโรงงานผลิตเสื้อผ้าถัก เธอตกแต่งและเย็บเสื้อผ้า แต่ไม่นานนักก็เริ่มรู้สึกเบื่อ และหันมาสนใจในการแสดงดนตรีในร้านอาหารประจำท้องถิ่น ด้วยรูปร่างที่เพรียวและสวยงาม ทำให้เธอเป็นที่สะดุดตา เธอได้ร้องเพลงบนเวทีและได้รับการปรบมือจากผู้ชมที่เรียกเธอว่า Coco ซึ่งเป็นชื่อที่อยู่กับเธอไปตลอดกาล ที่นี่เองที่เธอได้รับความสนใจและเป็นที่ชื่นชอบของ ษtienne Balsan ซึ่งเป็นเจ้าของม้าแข่งที่ร่ำรวยในเวลาต่อมา เมื่ออยู่กับเขา Gabrielle ได้ค้นพบโลกบนหลังม้า ซึ่งเป็นโลกที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับอาชีพของเธอมาตลอด และได้เข้าสู่สังคมชั้นสูงซึ่งมีผู้หญิงสวมหมวกที่เธอมองว่าเหมือน พายเธอถอยห่างออกมาจากผู้หญิงคนอื่นที่คอยติดตาม Balsan และในไม่ช้าก็สะดุดตาผู้ชายที่กลายมาเป็นคนรักในชีวิตของเธอ Arthur “Boy” Capel เขาสนับสนุนให้ Gabrielle ทำหมวกโดยให้ยืมเงินเพื่อเปิดร้านขายหมวกร้านแรกของเธอในปารีส บนถนน Cambon เมื่อปี ค.ศ. 1910 และตามด้วยร้านขายเสื้อผ้าและของประดับในเมืองชายฝั่งของฝรั่งเศสที่ Deauville ในเวลาต่อมาไม่นานนัก รวมทั้งร้านที่เมือง Biarritz และ Cannes ความสำเร็จของเธอเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและในไม่ช้าเธอก็สามารถคืนเงินทุกเพ็นนีที่ Boy Capel ให้ยืมมาได้



สาวน้อย Chanel เป็นนักออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง เมื่อสื่ออเมริกันเห็นผลงานการออกแบบใหม่ๆ ที่เธอคิดขึ้น พวกเขาก็พากันลงผลงานของเธออย่างไม่รู้เบื่อ 



ความสัมพันธ์กับ Boy Capel ทำให้เธอได้รับอิทธิพลจากพลังของผู้ชายและนำมาใช้ในการออกแบบเสื้อผ้าของเธออย่างสม่ำเสมอ เธอขอยืมกางเกงขายาว ชุดนอน หมวกฟาง และเสื้อแจ็คเก็ตของเขา และปรับปรุงเครื่องแต่งกายเหล่านี้ให้เหมาะกับเธอ



บรรดาคนรักของเธอมักมีอิทธิพลโดยตรงกับการออกแบบของเธอ เธอนำความชื่นชอบในเสื้อแบบกะลาสี กระดุมทอง ข้อมือเสื้อสีขาว และเสื้อแจ็คเก็ตตัดเย็บด้วยผ้าทวี้ดมาจาก Duke of Westminster และได้ขอยืม Roubachka ซึ่งเป็นเสื้อพื้นเมืองของรัสเซีย เสื้อโค้ทที่เย็บริมด้วยขนสัตว์ และการตกแต่งประดับประดามาจาก Grand Duke Dimitri



เธอออกจำหน่าย CHANEL N5 ซึ่งเป็นน้ำหอมกลิ่นแรกของเธอในปี ค.ศ. 1921 น้ำหอมนี้ทำจากดอกเมย์โรส ดอกมะลิ และ Aldehydes ความสำเร็จในครั้งนั้นไม่มีน้ำหอมใดสามารถเทียบได้และดูเหมือนว่าจะยังไม่มีใครสามารถทำได้เช่นนั้นด้วย โดยเฉพาะเมื่อได้รับการเน้นย้ำจากคำตอบที่ฮือฮาของ Marilyn Monroe ที่บอกว่า “CHANEL N5 สองสามหยดเมื่อมีคนถาม

ว่าเธอสวมอะไรเข้านอน



Coco สร้างสรรค์สไตล์ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์อันเป็นตำนานของ CHANEL เธอเป็นผู้หญิงที่กล้าท้าทายและสไตล์เป็นเสมือนสัมผัสที่หกของเธอ เธอคิดชุดกระโปรงสั้นสีดำที่โดดเด่นในปี ค.ศ. 1926 โดยกล่าวว่า ผู้หญิงควรคิดถึงทุกสีสันยกเว้นการขาดสีสัน ฉันได้พูดแล้วว่าสีดำเป็นทุกสิ่ง เช่นเดียวกับสีขาว เป็นความงามที่สมบูรณ์แบบ ลองดูผู้หญิงที่สวมชุดสีดำหรือสีขาวในงานเต้นรำสิ พวกเธอจะดึงดูดสายตาของทุกคน



เธอใช้เวลาอยู่ท่ามกลางบุคคลที่มีชื่อเสียงทางศิลปะในยุคของเธอ ร่วมมือกับ Cocteau และ Picasso ในการทำละครเวที และให้เงินสนับสนุนแก่ Stravinsky, Diaghilev, Radiguet และ Pierre Reverdy เธออยู่ทุกหนแห่ง อยู่ที่เวนิซกับเพื่อนๆ เช่น Misia Sert อยู่ในฮอลลีวู้ดกับเหล่าดารา และในปารีสที่ Ritz ซึ่งเป็นโรงแรมที่กลายมาเป็นบ้านของเธอ ในฐานะนักธุรกิจหญิง เธอไม่เคยปล่อยให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นตามดวง คำพูดของเธอสะท้อนให้เห็นคติพจน์ที่ลึกซึ้ง เช่น ถ้าคุณเกิดมาไม่มีปีก จงทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อให้มีหรือ ฉันไม่ชอบเวลาที่คนพูดถึงแฟชั่นของ CHANEL เพราะ CHANEL อยู่เหนือสไตล์ แฟชั่นเปลี่ยนไป แต่สไตล์ยังคงอยู่ 



ในปี ค.ศ. 1939 เธอปิดบ้านแห่งแฟชั่นลง และกลับมาเมื่ออายุ 71 ปี พร้อมกับการแสดงแฟชั่นที่เป็นตำนานอีกครั้งเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1954 นี่เป็นการปฏิวัติครั้งที่สอง ในเพียงไม่กี่ฤดูกาล เธอก็นำชุดสูทตัดเย็บด้วยผ้าทวี้ด กระเป๋าถือ ‘2.55’ ทำจากหนังตัดเย็บแบบควิลท์ 



ดอกคามีเลีย และรองเท้าสองสีมามอบให้กับผู้หญิง... และคืนสู่โลกที่เชื่อว่าเธอหายไปนานแล้ว เธอออกจำหน่าย ‘Pour Monsieur” และได้รับรางวัล Fashion Oscar จาก American City of Dallas ในฐานะ นักออกแบบที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20”

ทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิต ความรัก และสไตล์ส่วนตัวของ Chanel สามารถพบได้ในผลงานของเธอ เธอไม่เคยมีขีดจำกัดกับสิ่งใดๆ และวิธีการออกแบบแฟชั่นที่มีลักษณะเฉพาะตัวของเธอก็เกี่ยวข้องกับชีวิต ของส่วนตัวที่ได้มา และการค้นพบส่วนตัว กีฬาที่เธอรักส่งผลต่อการตัดเย็บและความเรียบง่ายในเสื้อผ้าของเธอ อัญมณีที่เธอได้รับถูกนำมาประดิษฐ์ใหม่ให้มีรูปแบบใหม่ที่เป็นต้นฉบับ เส้นทางที่เธอเดินทาง ผู้คนที่เธอพบเห็น มิตรภาพที่เธอสร้าง ความเชื่อ สิ่งเหล่านี้จะพบได้ในกระบวนการสร้างสรรค์ของเธอ ซึ่งทำให้เกิดผลงานที่อยู่ยาวนานและสามารถย้อนรอยประวัติศาสตร์ไปยังศตวรรษที่เธอมีชีวิตอยู่ได้

ฉันสร้างสรรค์แฟชั่นมาเป็นเวลาเศษหนึ่งส่วนสี่ของศตวรรษ ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะฉันรู้วิธีนำเสนอสิ่งที่เป็นปัจจุบันนักออกแบบหญิงกล่าว เธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1971 ไม่กี่วันก่อนการแสดงแฟชั่นชั้นสูงสำหรับฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนในปีนั้น ทั้งโลกต่างพากันยกย่องหนึ่งในผู้หญิงที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษ แต่หนังสือของ CHANEL ก็ไม่เคยปิดลงเลย


‘Mademoiselle Privยังคงอยู่ที่ประตูห้องทำงานของเธอบนถนน Cambon ที่นี่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 Karl Lagerfeld และทีมงานของเขาได้สานต่อตำนานของ CHANEL ซึ่งผู้หญิงที่มีระดับทั่วโลกยังคงเลือกสวมใส่อย่างภาคภูมิใจ น้ำหอมของ CHANEL ยังคงได้รับความนิยมสูงสุดและเป็นน้ำหอมที่น่าชื่นชมที่สุดในโลก Jacques Polge ซึ่งเป็น จมูกของบ้านหลังนี้และผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ Jacques Helleu ซึ่งเพิ่งมรณกรรมเมื่อไม่นานมานี้และยังคงเป็นที่ระลึกถึงอย่างอาดูร ได้สร้างสรรค์น้ำหอมหลากหลายกลิ่น รวมทั้ง Antaeus, goste, Coco, Allure, Chance และ Coco Mademoiselle เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ปรนนิบัติความงามของ CHANEL เป็นตัวแทนแสดงการสร้างสรรค์ การวิจัย และความยอดเยี่ยมได้เป็นอย่างดี นาฬิกาและเครื่องประดับอัญมณีของ CHANEL ได้มอบความหรูหราในรูปแบบใหม่ให้กับแบรนด์ที่เจิดจรัสนี้ บ้าน CHANEL หลังนี้ไม่เคยหยุดที่จะแสดงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในโลกปัจจุบัน

ป้ายกำกับ:

ประวัติกระเป๋า GUCCI

กระเป๋า GUCCI

ประวัติของ Gucci

กระเป๋า GUCCI

การเป็นคนเก่งที่มีคนยกยอปอปั้นอยู่ตลอดเวลาสามารถทำให้คนๆนั้นเสียผู้เสียคนได้ หากไม่มีความหนักแน่นพอ เพราะเกิดอาการหลงตัว ทอม ฟอร์ด (Tom Ford) ดีไซเนอร์ที่ปลุกยี่ห้อกุชชี (Gucci) แบรนด์เนมอิตาเลี่ยนที่ใกล้ล้มละลายให้กลับมาผงาดในยุทธจักรแฟชั่นไม่พ้นความจริงข้อนี้ได้
ในปี ๑๙๙๔ เมื่อโดเมนิโก เด โซเล (Domenico de Sole) ผู้บริหารกุชชีแต่งตั้ง ทอม ฟอร์ด ให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของกุชชีนั้น ทอม ฟอร์ด ยังเป็นดีไซเนอร์ที่ไม่มีใครรู้จักทั้งๆที่ทำงานกับแบรนด์เนมนี้ตั้งแต่ปี ๑๙๙๐ การทำงานที่เข้ากันได้ดีระหว่างสองคนนี้ทำให้กิจการของกุชชีกลับมาเรืองรุ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดเมนิโก เด โซเลและ ทอม ฟอร์ด เปรียบเสมือนคู่แฝดในวงการแฟชั่น เรียกชื่อกันสั้นๆว่า Dom-Tom แม้ โดเมนิโก เด โซเล จะเป็นผู้บริหารและ ทอม ฟอร์ด เป็นดีไซเนอร์ แต่การณ์กลับ

กลายเป็นว่าอัจฉริยภาพของ ทอม ฟอร์ด ทำให้เขามีอำนาจเด็ดขาดในการรังสรรค์ผลงานทุกด้านในนามของกุชชี ไม่ว่าจะเป็นคอลเลคชั่นเสื้อ ส่วนประกอบแฟชั่น น้ำหอม และแม้แต่แคมเปญโฆษณาดังนั้น ทอม ฟอร์ด จึงเป็นภาพลักษณ์ของกุชชี และกุชชีคือทอม ฟอร์ดทอม ฟอร์ด กลายเป็นดีไซเนอร์ดังที่ใครๆต้องจับตามอง เป็นดีไซเนอร์ที่จับต้องอะไรกลายเป็นเงินทองไปหมด ห้องเสื้อดังอยากได้ไปทำงานด้วย ทว่าเขาขออยู่คู่กับกุชชี การทำงานแบบสองประสานดำเนินไปด้วยดีจนกลุ่ม PPR (Pinault-Printemps-Redoute) เข้าบริหารกลุ่มกุชชี นักธุรกิจอย่าง ฟรองซัวส์ ปิโนลท์ (Francois Pinault) ที่ทุ่มเงินก้อนโตเพื่อเป็นหุ้นใหญ่ของกลุ่มกุชชี มีหรือจะปล่อยให้ “คนนอก”ที่ตนไม่เคยคุ้นบริหารกิจการของตนอย่างสบายมือ นั่นเป็นที่มาของ “ปัญหา” Dom-Tom ที่เคยใหญ่คับกุชชี กลับถูกจำกัดอำนาจ แผนงานต้องผ่านความเห็นชอบของ นายแซร์จ ไวน์แบร์ก (Serge Weinberg) ประธานกลุ่ม PPR และ นายฟรองซัวส์-อองรี ปิโนลท์ (Francois-Henri Pinault) ลูกชาย นายฟรองซัวส์ ปิโนลท์ และเป็นประธานบริษัท Artemisบริษัทลูกของ PPR ที่ดำเนินธุรกิจสินค้าหรู อย่างไรก็ตาม เมื่อกลุ่ม PPR ซื้อกิจการห้องเสื้ออีฟส์ แซงต์-โลรองต์ (Yves Saint-Laurent)ยังมอบหมายให้ ทอม ฟอร์ด เป็นดีไซเนอร์คอลเลคชั่นเสื้อสำเร็จรูปของแบรนด์เนมฝรั่งเศสนี้ อาจจะด้วยเหตุนี้ที่ทำให้ ทอม ฟอร์ด มั่นใจว่าตนยังมีความสำคัญและเป็น “ความจำเป็น” ของกลุ่ม PPR โดเมนิโก เด โซเล และ ทอม ฟอร์ด คงคิดว่าตนเป็น “ผู้สร้าง” กุชชีมากับมือเป็นเวลานับสิบปีจนเป็นที่เลื่องลือทั่วยุทธจักร อย่างไรเสีย กลุ่มนายทุนคงไม่ยอมสูญเสียตนไปเป็นแน่แท้ การต่อรองจึงเกิดขึ้น Dom-Tom ขอปรับเงินเดือนและอิสรภาพในการทำงาน กลุ่ม PPR อาจเห็นว่าในช่วงปีหลังยอดขายของกุชชีตก ประกอบกับภาพลักษณ์ของ ทอม ฟอร์ด ไม่อาจทำให้ผลประกอบการของห้องเสื้ออีฟส์ แซงต์-โลรองต์ดีขึ้น เพราะยังขาดทุนอย่างต่อเนื่อง การเจรจาหลายครั้งไม่

GUCCI

บรรลุผล จนเป็นที่มาของการแตกหัก เมื่อคู่แฝด Dom-Tom ประกาศไม่ต่อสัญญากับกลุ่มกุชชีที่จะสิ้นสุดลงในต้นปี ๒๐๐๔ อันเป็นข่าวช็อกทั่ววงการแฟชั่น เกิดคำถามว่าดีไซเนอร์ดังคนไหนอยู่ในสายตาของผู้บริหารกลุ่ม PPR ที่จะมาแทน ทอม ฟอร์ด มีการคาดเดาต่างๆนานา ในวันที่ ๗ มีนาคม ทอม ฟอร์ด เสนอคอลเลคชั่นเสื้อสำเร็จรูปของห้องเสื้ออีฟส์ แซงต์-โลรองต์ที่ปารีสเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นเขาก็หมดพันธะกับกลุ่ม PPR และอาจกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องว่าแม้จนบัดนี้ กลุ่ม PPR ยังไม่อาจหาดีไซเนอร์ที่คู่ควรแก่กุชชีและอีฟส์ แซงต์-โลรองต์ได้ ทว่าเพียงสามวันก่อนการแสดงแฟชั่นของอีฟส์ แซงต์-โลรองต์ นายแซร์จ ไวน์แบร์ก ประธานกลุ่ม PPR ก็ประกาศแผนปฏิรูปกลุ่มกุชชี ไม่มีการจ้างดีไซเนอร์ดังใดๆทั้งสิ้น มีแต่การผลักดัน”คนใน”ให้ผงาดขึ้นแทน ล้วนแต่เป็นดีไซเนอร์ที่อยู่ในทีมงานของ ทอม ฟอร์ด มาก่อน มีการตกลงในหลักการแล้ว เพียงแต่รอเซ็นสัญญาเท่านั้น

กระเป๋า GUICC

ทั้งนี้ตามรายงานข่าวของ The Wall Street Journal ฉบับยุโรป จอห์น เรย์  (John Ray) จะรับผิดชอบเสื้อบุรุษของกุชชี อเลสซานดรา ปัคคีเนตตี้(Alessandra Pacchinetti) เป็นดีไซเนอร์เสื้อสตรี และ สเตฟาโน ปิลาติ (Stefano Pilati) เป็นดีไซเนอร์ทั้งเสื้อบุรุษและสตรีของอีฟส์ แซงต์-โลรองต์ ลือกันว่าก่อนหน้านี้กลุ่ม PPR ทาบทาม อเล็กซานเดอร์ แมคควีน (Alexander McQueen) มาเป็นดีไซเนอร์ห้องเสื้ออีฟส์ แซงต์-โลรองต์ แต่เขาปฏิเสธเพราะอยากพัฒนาห้องเสื้อของตนมากกว่า อย่างไรก็ตาม แซร์จ ไวน์แบร์ก ไม่ขอออกความเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้ พร้อมกับเสริมว่ากลุ่มกุชชีที่มีมูลค่าถึง ๒.๕ พันล้านยูโร มีบุคลากรที่มีความสามารถมากมาย ไม่อาจหวังพึ่งคนเพียงสองคนเท่านั้น เพราะจะไม่ยุติธรรมสำหรับพนักงานอีก ๑๑,๐๐๐ คน อีกทั้งชื่อเสียงและความสำเร็จของผลิตภัณฑ์กุชชีต่างหากที่ทำให้ ทอม ฟอร์ด ดังขึ้นมา ไม่ใช่ ทอม ฟอร์ด ที่ทำให้กุชชีดัง อย่างไรก็ตาม ผู้คนยังกังขาไม่หายว่ากุชชีจะสามารถไปได้ดีหรือไม่เมื่อปราศจาก ทอม ฟอร์ด ผู้ซึ่งใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ ทว่า แซร์จ ไวน์แบร์ก มีความเห็นต่างไป เพราะต้องการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถมีโอกาสทำงานเหมือนที่ ทอม ฟอร์ด เคยได้รับโอกาสแบบนี้เมื่อสิบปีที่แล้ว กลุ่ม PPR โดยผ่านบริษัท Artemis มีสินค้าหรูในครอบครองหลายยี่ห้อด้วยกัน ได้แก่ กุชชี (Gucci) อีฟส์ แซงต์-โลรองต์ (Yves Saint-Laurent) เครื่องสำอางอีฟส์ แซงต์-โลรองต์ (Yves Saint-Laurent Beaute) แซร์โจ้ รอสซี (Sergio Rossi) บูเชอร็ง (Boucheron)บอตเตก้า เวเนต้า (Bottega Veneta) อเล็กซานเดอร์ แมคควีน (Alexander McQueen) สเตลลา แมคคาร์ทนีย์ (Stella McCartney) บาเลนเซียก้า (Balenciaga) โรเจร์เอต์กัลเลต์ (Roger & Gallet) แต่ละยี่ห้อควรมีผู้บริหารและดีไซเนอร์อย่างละหนึ่งคนเพื่อความคล่องตัวในการทำงานแต่ทุกยี่ห้อจะมีผู้อำนวยการฝ่ายการเงินคือ นายอเล็กซิส บาโบ (Alexis Babeau) เป็นผู้กำกับดูแลอีกทีหนึ่งทันทีที่ Dom-Tom ประกาศลาออก นายแซร์จ ไวน์แบร์ก เดินทางไปอิตาลีและลอนดอน ขณะที่ นายฟรองซัวส์-อองรี ปิโนลท์ ไปนิวยอร์กเพื่อตรวจตลาดของกุชชี แล้วจึงวางแผนปฏิรูป ในแผนงานใหม่ ต้องมีความร่วมมือ

GUCCI

ใกล้ชิด ระหว่างประธานกลุ่ม PPR และผู้อำนวยการของกุชชี ซึ่งจะต้องเป็นนักบริหารที่มีความเป็นอินเตอร์และรู้จักโลกของสินค้าหรูอย่างลึกซึ้ง คนที่เข้าสเป็คดูเหมือนจะเป็นอัน โตนิโอ เบลโลนี(Antonio Belloni) ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการของกลุ่ม LVMH อันเป็นกลุ่มธุรกิจที่เป็นอริกับกลุ่ม PPR และอดีตประธานบริษัท Procter & Gamble Europe ดูเหมือนว่ากลุ่ม PPR จะไม่กังวลกับการสูญเสีย ทอม ฟอร์ด นัก เมื่อคำนึงถึงว่าแม้โกโก้ ชาแนล และคริสติออง ดิออร์ จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ห้องเสื้อชาแนล และดิออร์ยังคงอยู่ นอกจากนั้นเบอร์เบอรีซึ่งหายเงียบไปนาน ก็ยังสามารถคืนกลับวงการแฟชั่นได้ ด้วยว่าแบรนด์เนมเหล่านี้ได้สร้างชื่อไว้นานปี อีกทั้งผู้บริโภคสนใจซื้อสินค้าที่มีโลโก้เหล่านี้มากกว่าจะสนใจว่าใครเป็นผู้ออกแบบ

ทอม ฟอร์ด

ประวัติของทอม ฟอร์ด

ทอม ฟอร์ด เกิดในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส แต่ใช้ชีวิตเติบโตส่วนใหญ่ในเมืองซานตาเฟ รัฐนิวเม็กซิโก ในช่วงวัยรุ่น ฟอร์ดย้ายไปนิวยอร์ค เพื่อสมัครเรียนที่ New York University ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ (Art History) แต่ก็เปลี่ยนใจไปเรียนด้านสถาปัตยกรรม ที่ Parsons School of Design ในนิวยอร์ค และปารีส รวมถึงการฝึกงานที่ Parsons ในเมืองนิวยอร์ค จากนั้นในปี 1990 ทอม ฟอร์ด เข้าร่วมงานกับแฟชั่นแบรนด์ Gucci เมืองมิลาน ในฐานะดีไซเนอร์เสื้อผ้าผู้หญิง ในปี 1992 ได้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ (Design Director) และในปี 1994 ก้าวขึ้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ (Creative Director) ของ Gucci ดูแลการออกแบบของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ตั้งแต่เสื้อผ้า จนถึงน้ำหอม รวมถึงภาพลักษณ์ขององค์กรทั้งหมด งานแคมเปญโฆษณา และงานออกแบบร้านบูติค ในเดือนมกราคม 2000 หลังจากที่ Gucci ได้ซื้อกิจการแฟชั่นแบรนด์ Yves Saint Laurent และ YSL Beaute ทอม ฟอร์ด ก็ได้เข้ามาดูแลงานสร้างสรรค์ของแบรนด์นี้ด้วย ทั้งทางด้านภาพลักษณ์และการวางโพสิชั่นนิ่ง การออกแบบผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมการสื่อสารทั้งหมด จนเดือนกรกฏาคม ปี 2002 ฟอร์ด ได้ก้าวขึ้นเป็น Vice Chairman ของบอร์ดกรรมการบริหารของ Gucci Group และในที่สุด ก็ได้ลาออกจาก Gucci Group ในเดือนเมษายน 2004 ความสำเร็จของทอม ฟอร์ดในโลกแฟชั่น การันตีด้วยผลงานและรางวัลมากมาย อาทิ รางวัลจาก Council of Fashion Designers of America (CFDA) 3 ปี (1996, 2001, 2002), รางวัลจาก VH-1/ Vogue Fashion Designers of America 4 ปี (1995, 1996, 1999 และ 2002) และอีกมากมาย ในเดือนมีนาคม 2004 ทอม ฟอร์ด ได้รับยกย่องจากการทุ่มเทให้แก่โลกแห่งแฟชั่นและภาพยนตร์ การรับรางวัล Rodeo Drive Walk of Style Award

ป้ายกำกับ: